สำหรับหลักการเลือกซื้อเครื่องอัดลม ประกอบการพิจารณาในการซื้อได้จริงมีดังต่อไปนี้
ชนิดของลมอัด :
1.แบบไร้น้ำมัน (Oil-free)
2.แบบมีน้ำมัน (Oil-lubricated หรือ Oil-flood)
ผู้ใช้งานและประเภทของเครื่องอัดลม :
1.อู่ซ่อมรถจักรยาน จักรยานยนต์ อู่ซ่อมรถยนต์นั่ง(เก๋ง) อู่ซ่อมรถกระบะ ชนิดของเครื่องอัดลม คือ เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 5-10 บาร์ ขนาดแรงม้า(ขนาดแรงม้าเทียบได้กับปริมาณลมนั่นเอง)ขึ้นอยู่กับอัตราความต้องการลมอัด โดยดูจากปริมาณรถที่เข้ารับบริการ (ปรึกษาผู้ขายเพื่อเลือกขนาดแรงม้า)
2.อู่ซ่อมรถบรรทุก 6 ล้อ อู่ซ่อมรถ 10 ล้อ อู่ซ่อมรถแทรกเตอร์ ชนิดของเครื่องอัดลม คือ เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 10-15 บาร์ ขนาดแรงม้า(ขนาดแรงม้าเทียบได้กับปริมาณลมนั่นเอง)ขึ้นอยู่กับอัตราความต้องการลมอัด โดยดูจากปริมาณรถที่เข้ารับบริการ (ปรึกษาผู้ขายเพื่อเลือกขนาดแรงม้า)
3.โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ชนิดของเครื่องอัดลม คือ เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 5-10 บาร์ ขนาดแรงม้าขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการลมอัด โดยคำนวณได้จากข้อมูลการใช้ลมของเครื่องจักรแต่ละเครื่องรวมกันแล้วมาเทียบเลือกขนาดแรงม้าเครื่องอัดลม
4.โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ คือ เครื่องอัดลมแบบสกรูและแบบเทอร์โบ ขนาดแรงม้าขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการลมอัด โดยคำนวณได้จากข้อมูลการใช้ลมของเครื่องจักรแต่ละเครื่องรวมกันแล้วมาเทียบเลือกขนาดแรงม้าเครื่องอัดลม
5.กลุ่มอุตสาหกรรมพิเศษ เช่น อุตสาหกรรมเป่าขวด PET อาจต้องใช้ควบคู่กันทั้งลมอัดที่มีความดันระหว่าง 5-10 บาร์(ใช้ระบบนิวแมติค)และความดัน 35-40 บาร์(ใช้เป่าขวด) โดยทั่วไปเครื่องเป่าขวดจะต้องมีลมอัด 2 ความดันนี้ป้อนให้เสมอ
สิ่งที่ต้องรู้เพื่อเลือกขนาดและชนิดของเครื่องอัดลม : Air Compressor
1.ความดันใ้ช้งาน (Working pressure) มีหน่วยเป็น kg/cm2, Psi, Bar, Mpa และอื่นๆ
2.อัตราการใช้ลม (Air flow rate) มีหน่วยเป็น l/min., m3/min., CFM
3.ความสะอาดของลมอัด แบบไร้น้ำมันและแบบมีน้ำมัน โดยทั่วไปแบบออยฟรีจะใช้สำหรับงานเฉพาะอย่างและต้องการลมที่สะอาดมากเท่านั้น เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เวชภัณฑ์ พ่นสี ฯลฯ
ขั้นตอนการเลือกเครื่องอัดลม : Air Compressor
1.รวบรวมความดันใช้งาน (Working pressure) ของเครื่องจักรที่ต้องการใช้ลมอัดแต่ละเครื่องว่าความดันสูงสุด(หน่วยเป็น kg/cm2, Psi, Bar, Mpa) ที่ต้องการ เมื่อรวบรวมได้แล้วให้แยกกลุ่มความดันออกมาเป็นดังนี้
1.1 ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 0-10 บาร์
1.2 ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 10-15 บาร์
1.3 ความดันใช้งานอยู่ระหว่าง 15-20 บาร์
1.4 ความดันใช้งานตั้งแต่ 20 บาร์ขึ้นไป
โดยความดันใช้งานในแต่ละช่วงความดันจะเป็นตัวกำหนดชนิดของเครื่องอัดลมเพื่อให้ความดันพอกับการใช้งาน
2.รวบรวมอัตราการใช้ลม (Air flow rate) ของเครื่องจักรที่ต้องการใช้ลมอัดแต่ละเครื่องว่าใช้ลมอัตราในอัตราเครื่องละเท่าไหร่ โดยต้องแบ่งตามความดันในข้อ 1(หน่วยเป็น l/min., m3/min., CFM)
3.เมื่อได้ค่าตัวเลขตามข้อ 1 และ 2 แล้วเราจะได้ค่าตัวเลขมา 2 ค่าคือความดันใช้งานและอัตราการใช้ลม
สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาคือความดันเพราะความสามารถในการทำความดันของเครื่องอัดลมแต่ละชนิดจะไม่เท่ากันดังนี้
3.1 เครื่องอัดลมแบบลูก(Reciprocating type) สามารถทำความดันได้ตั้งแต่ 0-60 บาร์
3.2 เครื่องอัดลมแบบโรตารี่สกรูและเวนโรตารี่(Screw&Vane rotary type) สามารถทำความดันได้ตั้งแต่ 0-12 บาร์
3.3 เครื่องอัดลมแบบเทอร์โบ(Centrifugal type) สามารถทำความดันได้ตั้งแต่ 0-12 บาร์
ชนิดเครื่องอัดลมและความสัมพันธ์ของแรงม้า :
>เครื่องอัดลมแบบลูกสูบ(Air-cooled)ความดันตั้งแต่ 0-15 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ 1/4HP-15HP
>เครื่องอัดมแบบลูกสูบบูชเตอร์(Air-cooled)ความดันตั้งแต่ 35-40 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ 10HP-30HP
>เครื่องอัดมแบบลูกสูบความดันสูง(2-3 Stage Water-cooled)ความดันตั้งแต่ 35-40 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ 50HP-150HP มีทั้งแบบออยฟรี(Oil-free) และแบบใช้น้ำมันหล่อลื่น(Oil-Flooded)
>เครื่องอัดลมแบบสกรู(Air&water-cooled)ความดันตั้งแต่ 0-12 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ขนาด 20HP-300HP
>เครื่องอัดลมแบบเทอร์โบ(Water-cooled)ความดันตั้งแต่ 0-12 บาร์ มีผลิตตั้งแต่ 300HP-1000HP
สรุป : สิ่งสำคัญ 3 ประการในการเลือกเครื่องอัดลมที่ต้องรู้คือ
1.ความดัน (Working pressure)
2.อัตราการใช้ลม (Air flow rate)
3.ชนิดลมอัด แบบไร้น้ำมันหรือแบบมีน้ำมัน
ส่วนปัจจัยประกอบอย่างอื่นเช่นการระบายความร้อนด้วยอากาศ น้ำ หรือขับด้วยระบบไฟฟ้า ขับด้วยเครื่องยนต์ และอื่นๆนั้นโดยมากแล้วผู้ผลิตเครื่องได้ออกแบบในแต่ละประเภทไว้แล้ว
คอมเพรสเซอร์ราคาถูก Air Compressor
Advertising
|